รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและรถสามล้อไฟฟ้า – พลังขับเคลื่อนใหม่ของการขนส่ง Last-Mile และอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย
การเติบโตของอีคอมเมิร์ซและความต้องการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ
1. การเติบโตของอีคอมเมิร์ซในไทย
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศอาเซียนที่มีการเติบโตของอีคอมเมิร์ซสูงที่สุด โดยมีผู้ใช้งานมากกว่า 40 ล้านคน และยอดการสั่งซื้อออนไลน์เพิ่มขึ้นกว่า 20% ต่อปี โดยเฉพาะในแพลตฟอร์มอย่าง Lazada, Shopee, TikTok Shop และ Facebook Marketplace
การขนส่ง last-mile หรือการจัดส่งสินค้าจากจุดกระจายกลางไปยังบ้านลูกค้า เป็นขั้นตอนที่มีต้นทุนสูงที่สุดในระบบโลจิสติกส์ และเป็นตัวแปรสำคัญในการสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า
ในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และขอนแก่น การจราจรติดขัดและถนนซับซ้อน ทำให้รถขนาดใหญ่ขนส่งได้ยาก การใช้ยานพาหนะขนาดเล็กอย่าง รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า หรือ รถสามล้อไฟฟ้า จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสม
2. จุดเด่นของรถไฟฟ้าในการขนส่งระยะสุดท้าย
คล่องตัวสูง: รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าสามารถวิ่งผ่านตรอก ซอย แยก และพื้นที่แคบในเขตชุมชนได้ง่ายกว่ารถบรรทุกหรือรถกระบะ
ประหยัดต้นทุน: ต้นทุนการชาร์จไฟเฉลี่ยอยู่ที่ 10–15 บาทต่อการใช้งานต่อวัน เมื่อเทียบกับค่าน้ำมัน 100–150 บาท/วัน ช่วยให้ผู้ประกอบการประหยัดต้นทุนได้อย่างชัดเจน
เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: ไม่มีการปล่อยคาร์บอนหรือเสียงดัง ช่วยลดมลพิษในเมือง ตอบโจทย์นโยบายพัฒนาเมืองยั่งยืน
ความสามารถในการปรับแต่ง: รถสามล้อไฟฟ้าสามารถติดตั้งกล่องเก็บของ ตู้แช่เย็น หรือระบบ GPS สำหรับการติดตามสินค้าได้
3. การใช้งานจริงในภาคธุรกิจ
บริษัทขนส่งเอกชน: บริษัทอย่าง Flash Express, Kerry Express และ J&T เริ่มนำรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในพื้นที่ในเมือง โดยเฉพาะสำหรับการจัดส่งที่มีความถี่สูง
ผู้ค้ารายย่อย: ร้านค้าออนไลน์และผู้ขายผ่าน Facebook, TikTok, Shopee ใช้รถไฟฟ้าในการส่งสินค้ารายวัน โดยเฉพาะสินค้าชิ้นเล็ก เช่น เสื้อผ้า เครื่องสำอาง อาหารเสริม
ร้านอาหารและเดลิเวอรี่: แพลตฟอร์มอย่าง Grab, LINE MAN, Robinhood ส่งเสริมให้ไรเดอร์ใช้รถไฟฟ้า พร้อมโปรโมชั่นค่าชาร์จฟรีหรือเงินอุดหนุนรถ
4. สนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน
ประเทศไทยกำลังผลักดันนโยบาย “EV 30@30” เพื่อให้รถใหม่ 30% ในประเทศเป็นรถไฟฟ้าภายในปี 2030 โดยมีมาตรการดังนี้:
ลดภาษีนำเข้า: สำหรับรถไฟฟ้าและชิ้นส่วนจากจีนและประเทศที่มีข้อตกลง FTA
เงินสนับสนุน: รัฐบาลมอบเงินอุดหนุน 18,000–150,000 บาทต่อคัน ขึ้นอยู่กับประเภทและขนาด
การติดตั้งสถานีชาร์จ: ร่วมกับภาคเอกชนอย่าง PTT และ EA เปิดสถานีชาร์จในเมืองหลักและย่านธุรกิจ
5. ความเหมาะสมกับแรงงานไทยและผู้ประกอบการรายย่อย
เหมาะกับผู้เริ่มต้นธุรกิจ: ราคาซื้อรถไฟฟ้าสำหรับขนส่งเริ่มต้นที่ 30,000–50,000 บาท ซึ่งต่ำกว่ารถจักรยานยนต์เครื่องยนต์หลายรุ่น และไม่ต้องมีใบขับขี่ประเภทพิเศษ
เหมาะกับแรงงานอิสระ: วัยรุ่นหรือผู้ว่างงานสามารถเริ่มต้นอาชีพเดลิเวอรี่ได้โดยไม่ต้องลงทุนสูง พร้อมรับรายได้วันละ 300–800 บาท
กำไรระยะยาว: แม้รายได้ต่อวันไม่มาก แต่เมื่อรวมกับต้นทุนการใช้พลังงานที่ต่ำ และค่าซ่อมที่น้อยกว่า จึงเป็นทางเลือกที่มีความคุ้มค่าระยะยาว
6. ความท้าทายของระบบขนส่งด้วยรถไฟฟ้า
การบำรุงรักษา: ยังขาดช่างซ่อมเฉพาะทางในพื้นที่รอบนอก หากรถเสียอาจต้องส่งซ่อมที่ศูนย์บริการกลาง
ระยะทางการวิ่ง: แบตเตอรี่ของบางรุ่นยังวิ่งได้เพียง 60–80 กิโลเมตรต่อการชาร์จ หากใช้งานหนักทั้งวันอาจไม่เพียงพอ
ความเร็วและแรงบรรทุก: รถสามล้อไฟฟ้าบางรุ่นรับน้ำหนักได้เพียง 200–300 กก. และไม่เหมาะกับถนนลาดชันหรือวิ่งทางไกล
7. แนวโน้มในอนาคต
ผู้ผลิตในประเทศเริ่มพัฒนารุ่นใหม่ที่ชาร์จเร็ว วิ่งไกลขึ้น และใช้แบตเตอรี่ลิเธียมที่มีอายุยาวกว่า
อาจมีการจับมือระหว่างแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซกับผู้ผลิตรถไฟฟ้า เพื่อให้พ่อค้าแม่ค้าเช่าซื้อรถได้ในราคาพิเศษ
เทศบาลหลายแห่งในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่เตรียมออกนโยบาย “เขตปลอดมลพิษ” ซึ่งอาจบังคับใช้รถไฟฟ้าในบางพื้นที่เท่านั้น
สรุป
รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและรถสามล้อไฟฟ้าไม่ใช่แค่พาหนะทางเลือก แต่กำลังกลายเป็น “โครงสร้างพื้นฐานใหม่” ของอีคอมเมิร์ซไทย โดยเฉพาะในยุคที่ความเร็วในการจัดส่งและต้นทุนคือหัวใจของการแข่งขัน
เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาต่อเนื่อง พร้อมกับนโยบายส่งเสริมของภาครัฐและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป รถไฟฟ้าจะเป็นพลังสำคัญในการเปลี่ยนโฉมระบบโลจิสติกส์ของไทยในอนาคต